วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เงินบาทแข็ง


ผลจากค่าเงิน ดอลล่าร์สหรัฐ อ่อนค่าลง ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามข่าวที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ที่ลงไปถึง 30 บาท ต่อ 1ดอลล่าร์ ถ้ายังจำกันได้เมื่อปี 40 ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทอยู่ที่ 25บาท/$ และอ่อนค่าไปจนถึง 40บาท อย่างที่ทราบกัน

ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ จะมีผลมาจากหลายปัจจัยและมีปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจคือ การที่อเมริกาเกิดวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ทำให้สถาบันการเงิน บริษัทรถยนต์ และกิจการอื่นต้องเป็นกิจการล้มละลาย รวมเป็นร้อยบริษัท ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีปัญหา คนอเมริกันจับจ่ายน้อยลง จึงมีการมาเน้นที่การส่งออก ด้วยจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่ดี มีผลให้ค่าเงินดอลลาอ่อนค่าลง และเป็นผลดีต่อการส่งออก ซึ่ง ณ วันนี้อเมริกาคงมีการแทรกแซงค่าเงินดอลล่าให้อ่อนไว้ เหมือนที่จีนทำมาตลอด เพราะจีนส่งสินค้าออกนอกประเทศมากมายไม่แพ้ญี่ปุ่น คงเคยเห็นโทรศัพท์ของจีน ที่ copy ได้ทุกรูปแบบที่มีในปัจจุบัน

มีข้อสังเกตุนึงเรื่อง การเรียกคืนรถ Toyota ว่าทำไมมีปัญหามากมายเกิดขึ้น มีการเรียกรถคืนเป็นแสนๆ คัน รวมทั้งรถยี่ห้ออื่นของญี่ปุ่นด้วย สิ่งที่อดคิดไม่ได้คือ อเมริกาวางยาญี่ปุ่นหรือป่าว เพราะ GM และบริษัทรถยนต์อีกหลายเจ้าประกาศล้มละลายไป คือ ทำเพื่อให้รถของอเมริกาขายได้มากขึ้น หรือ ยอดไม่ตกไปมากเกินไป หรือป่าว?? เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศย่ำแย้อย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน

ในมุมของประชาชนทั่วไป กับค่าเงินบาทแข็ง จะเป็นผลดีมากกว่าเสีย เช่น สินค้านำเข้าราคาจะถูกลง ไม่ว่า รถยนต์ สินค้าแบนด์เนม หรือ การไปเที่ยวต่างประเทศ ใช้เงิน 30 บาท แลกได้ 1 ดอลล่าร์ จากก่อนหน้านี้จะต้องใช้ 35 บาท คือใช้เงินบาทจำนวนน้อยลง จะแลกเงินดอลล่าร์ได้มากขึ้น แต่ตอนที่เราแลกคืนเป็นเงินบาท จะเหมือนขายทอง จะมีการแลกซื้อคืนต่ำกว่าราคาขาย เช่น ตอนแลก 31บาท/$ พอแลกคืนจะอยู่ที่ 29.67บาท
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

และกับราคาน้ำมันก็ควรจะลดลงด้วย น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ก็ควรจะอยู่ที่ 30 บาท ไม่ควรเกิน 32 บาท พอดีว่าราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 30บาท ใกล้กับค่าเงินบาทตอนนี้พอดี ก็ดูการขึ่นลงของราคาน้ำมันตามค่าเงินบาทเลย คือ ดูว่าเงินบาทลง น้ำมันลงด้วยหรือป่าว แต่ราคาน้ำมันมีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อราคา ค่าเงินบาทจะไม่มีผลต่อน้ำมันมากเท่าไหร่ และรัฐบาลจะเข้าแทรกแซงไม่ให้ค่าเงินบาทลงไปต่ำกว่า 30บาท เพื่อลดผลกระทบกับการส่งออกของประเทศ

และผลเสียที่มีต่อการส่งออกตามข่าวที่มีทุกวัน จากที่ผู้ส่งออกเคยตั้งราคาขายสินค้าที่ 100ดอลล่าร์ (3,500บาท) เมื่อขายสินค้าชิ้นนี้ในวันนี้ จะได้เป็นเงินบาทที่ 3,000บาท ถ้าจะให้ได้กำไรเท่าเดิมต้องตั้งราคาที่ 117ดอลล่าร์ แต่ปัญหาคือราคามันแพงขึ้นสำหรับลูกค้าต่างชาติ และแพงกว่าคู่แข่งที่เป็นประเทศที่ค่าเงินไม่แข็งขึ้นเหมือนเรา อย่างพี่จีนก็ยิ้มหวานเลย เพราะพี่แกแทรกแซงค่าเงินหยวนให้อ่อนตลอดเวลา

โดยการใช้ชีวิตปกติของเรา ก็จะไม่รู้สึกอะไรกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ถ้าคุณไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ หรือต้องซื้อสินค้านำเข้าอะไรมากมาย

สิ่งที่คุณควรทราบคือ เศรษฐกิจของอเมริกายังไม่ฟื้น ไทยเรามีปัญหาในการส่งออกสินค้า เศรษฐกิจของโลกก็ยังไม่ดีเช่นกัน ประเทศกรีซ ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศได้ อาจจะต้องเข้าโครงการ IMF แบบที่เราเคยทำ

ถ้าเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี เราส่งออกได้น้อย แรงงานไทยก็อาจจะตกงานเพิ่มขึ้น มีผลต่อเศรษฐกิจของเรา มีผลต่อสภาพสังคม มีการทำผิดกฎหมายมากขึ้น คุณจะได้ยินข่าวการปล้นรถขนเงินอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ค่าเงินบาทจะไม่กระทบกับเราโดยตรง แต่เราจะได้รับผลทางอ้อมไม่มากก็น้อย ครับ


15 ก.ย. 53
----ผู้จัดการออนไลน์

จากตาราง ดูที่ ดอลล่าร์ ออสเตรเลีย ค่าเงินพอๆ กับ ดอลล่าร์ สหรัฐ แล้ว ภูมิภาคเอเชียของเราก็จะอิงกับ ดอลล่าร์ สหรัฐ ฉนั้นโดยมากค่าเงินของเอเชียก็จะแข็งค่าขึ้นเป็นส่วนใหญ่


By ODevel




Pink Floyd - Money - Live




วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ออฟฟิศ น่าอยู่

Google Office



Search engine เจ้าเดียวที่คู่แข่ง ไม่อาจจะเทียบได้ แม้แต่ Yahoo ผู้บุกเบิกการเสริช

http://qmumuq.exteen.com/20080815/google-offices


ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ เอาว่าจ่าย OT ค่าจ้าง เงินเดือน มีสวัสดิการต่างๆ ให้ดี ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการให้ ที่ทำงานน่าอยู่ ไม่ต้องหาพนักงานใหม่บ่อยๆ


PIXAR Office




อพาร์ตเม้นท์ไม่บาน
ของ อ.เชี่ยว

เป็นการมาบรรจบกันระหว่าง ทุนนิยม และ ความพอเพียง

รูปข้างล่างนี้ 4 ชั้น อาจารย์เชี่ยวบอก ตั้งงบประมาณ 7-10 ล้าน แล้วแต่แบบ คุณก็จะมีห้องเช่า ที่ทำรายได้ให้คุณแล้ว โดยใช้พื้นที่ไม่มากที่อยู่ในเมือง และไม่ต้องลงทุนสูง เท่ากับอพาร์ตเม้นท์ขนาดใหญ่ ถ้า 50ห้อง ก็ต้องสัก 20 ล้าน

ลดความเสี่ยง ในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน ค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อน การท่องเที่ยวนิยม Low cost ไม่ว่าจะบิน จะเที่ยว หรือ ที่พัก






วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

Up in the Air



George Clooney เป็นพนักงานอาวุโส มีหน้าที่ในการแจ้การ layoff ให้กับพนักงานในสาขาต่างๆ ในอเมริกา และต้องไปทำงานกับพนักงานหญิงที่เข้ามาใหม่ ซึ่งมีมุมมองชีวิตที่ต่างกัน

เขาต้องบินตลอดเวลาเพื่อไปยังบริษัทสาขา จึงเป็นชื่อของหนังเรื่องนี้

เขาอายุ 50 แล้ว แต่ยังเป็นโสด และเขาได้เจอสาวใหญ่คนนึง ที่รู้สึกชอบพอกัน จนได้มีความสัมพันธ์กัน และเธอทำให้เขารู้สึกว่าถึงเวลาต้องหยุดเดินทางได้แล้ว

เขาตัดสินใจบินไปหาเธอที่บ้าน แต่ได้เห็นเธอกับสามีและลูก ซึ่งเธอไม่เคยเล่าให้เขาฟัง

เธอบอกกับเขาว่า เราเป็นแค่กิ๊กกัน ไม่คิดว่าคุณจะคิดจริงจังกับฉัน พระเอกหนุ่มใหญ่ ก็บินกลับไปพร้อมแห้ว และการเสียความรู้สึกอย่างแรง

งานในหน้าที่นี้ เป็นคุณจะอยากทำหรือป่าว และหนึ่งในพนักงานที่ถูกให้ออกทั้งหมด มีพนักงานหญิงคนนึงไปกระโดดน้ำตายที่สะพาน ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานคิดว่าเธอพูดเล่น ในขณะที่เจรจาในการให้ออกจากงาน


สำหรับประกันสังคมของบ้านเรา ถ้าเลิกจ้าง จะได้รับเงินทดแทน 50% ของเงินเดือน เป็นเวลา 6 เดือน ถ้าลาออก จะได้รับเงินทดแทน 30% เป็นเวลา 3 เดือน

มีพนักงานภาคเอกชนหลายๆ คน ที่ยังไม่ทราบสิทธิ์ที่มีในประกันสังคม ซึ่งสามารถขอ คู่มือประกันสังคม ได้ที่ฝ่ายบุคคลของบริษัทคุณ ครับ

คุณสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล ค่าทำฟัน ได้ที่คลินิก และโรงพยาบาล ที่อยู่บนบัตรประกันสังคมของคุณ กับ 5% ที่ถูกหักทุกเดือน คุณควรใช้สิท์ของคุณนะครับ

สำหรับผู้ที่ทำอาชีพอิสระ คุณสามารถทำประกันสังคมได้ครับ ด้วยเงินสบทบต่ำสุด 432 บาท และจะได้รับสิทธิ์ทุกอย่างของประกันสังคม เช่นกัน


ทุนนิยม อยากโตเมื่อมีโอกาส และต้องเล็กลงเมื่อจำเป็น


By ODevel






"Up In The Air" - Official Trailer [HQ]


Help Yourself - Sad Brad Smith (soundtrack)



วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

Sexual Harassment

การคุกคามทางเพศ

มีการออกกฎระเบียบในเรื่อง การคุกคามทางเพศ ของข้าราชการในสังกัด ก.พ. (ข้าราชการพลเรือน) โดยการคุกคามนั้นไม่ว่าจะโดย สายตา วาจา สัมผัสร่างกาย ซึ่งระเบียบในเรื่องนี้จะไม่ครอบคลุมข้าราชการส่วนท้องท้องถิ่น ตำรวจ ทหาร ครู

ระเบียบในเรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อนในระบบราชการ และการคุกคามทางเพศในหน่วยราชการ อาจจะมีมากว่าในภาคเอกชน เพราะเอกชนจะมีกฎระเบียบในเรื่องนี้อยู่บ้างแล้วแต่บริษัท ถ้าเป็นบริษัทข้ามชาติจะมีระเบียบข้อนี้ตามบริษัมแม่ในต่างประเทศ

ถ้าผู้เสียหายฝ่ายหญิงทำการร้องเรียนในเรื่องนี้ โดยมากก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม จะโดนหาว่าสมยอมและทำให้องค์กรเสียชื่อเสียอีกต่างหาก ยิ่งถ้าคู่กรณีเป็นผู้บังคับบัญชาด้วยก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ในการเอาผิด

C ตัวที่ 5 ที่เขียนไปคราวก่อนจึงจำเป็นสำหรับสาววัยทำงาน อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้

ถ้าคุณเป็นหญิงสาวหน้าตาดี มันก็หลีกเลี่ยงยากที่จะไม่ให้เจอเรื่องนี้ เพราะอย่างที่บอกว่า ผู้ชายหมกมุ่นในเรื่องนี้โดยธรรมชาติของฮอร์โมนในร่างกาย สิ่งที่คุณต้องทำคือ แสดงออกให้ชายคนนั้นรู้ว่า คุณไม่พอใจในการกระทำของเขา เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทุกครั้งให้เพื่อนของคุณฟังเพื่อเป็นพยานในอนาคต แล้วเรื่องมันจะขยายวงออกไปเอง และชายคนนั้นจะยอมถอยออกไป ถ้าเขาเป็นเจ้านายคุณ และคุณไม่สบายใจ มีผลกระทบต่อการทำงาน คุณควรขอย้ายไปแผนกอื่น

และถ้าเกิดเรื่องขึ้น คุณควรปรึกษาหน่วยงาน กลุ่มพิทักษ์สตรี และกลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทราบวิธีการดำเนินการและสิทธิที่จะคุ้มครองคุณ

ส่วนหนังเรื่อง Disclosure เป็นเรื่องที่เจ้านายผู้หญิงกระทำต่อลูกน้องผู้ชาย เป็นหนังหลายสิยปีแล้ว นำแสดงโดย Dime Moore และ Michael Douglas จะมีการสืบสวนและการพิจารณาของคณะกรรมของบริษัทว่าใครผิดใครถูก ซึ่งเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเขาสืบหาความจริงได้ยังไง


By ODevel


Disclosure (1994)






เรียน ป.เอก แล้วจะตกงานหรือป่าว


เรียน ป.เอก แล้วจะตกงานหรือป่าว

เห็นมีคนเสริช คำถามประมาณนี้ จาก Google

โดยมากแล้วผู้ที่เรียน ป.เอก จะเป็นอาชีพสาย ครู อาจารย์ และในระดับมหาวิทยาลัย จะเน้นการรับผู้จบ ป.เอก เป็นหลัก ถ้าไม่มีผู้มาสัมครจึงจะประกาศรับ ป.โท ซึ่งโดยมากก็จะหาไม่ได้ง่ายนัก เพราะในหลายๆ สาขาวิชา ไม่มีผู้จบ ป.เอก มากนัก และมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดก็ยิ่งเป็นไปได้ยากที่จะได้ผู้จบปริญญาเอกเข้ามาสมัคร เพราะอยู่ใน กทม. ได้รายได้มากกว่า

ถ้าคุณเรียน ป.เอก ไปเพื่อต้องการเป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชน ก็บอกได้เลยว่า มีสิทธิ์จะตกงาน เพราะภาคเอกชนไม่จำเป็นต้องจ้าง ป.เอก ในงานระดับประสบการณ์ทั่วไป เขาจะรับ ป.เอก ในตำแหน่งระดับบริหาร และเอกชนจะเน้นประสบการณ์ในการทำงานมากกว่าวุฒิการศึกษา

ภาคธุรกิจที่จะรับ ป.เอก เช่น ในภาคการเงิน ตลาดทุน บริษัทสำนักงานใหญ่ ภาคราชการ ก็ระดับ กระทรวง กรม ต่างๆ เช่น กระทรวงการคลัง ซึ่งโดยมากผู้จบ ป.เอก จะจบจากต่างประเทศ และจบจากมหาลัยมีชื่อ

ถ้าคุณไปเรียน ป.โท จบมาแล้ว ก็ใช่ว่าบริษัทจะปรับวุฒิและเงินเดือนให้คุณทันที แต่คุณจะเป็นตัวเลือกสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง ถ้าไม่ถูกเลือกคุณก็อยู่ในตำแหน่งเดิมต่อไป

สำหรับภาคเอกชน ก็เรียน ป.โท เอาไว้ และเน้นประสบการณ์ในสายงานนั้นให้มาก ไม่ควรเปลี่ยนงานข้ามสายงานถ้าเพิ่งจบใหม่ ควรทำสายงานนั้นสัก 2-3 ปี แล้วค่อยไปลองสายงานอื่น

ถ้าไม่คิดจะเป็นอาจารย์ ก็ไม่จำเป็นต้องเรียน ป.เอก ครับ นอกจากว่าคุณมั่นใจว่า คุณเลือกสาขาวิชาที่คุณถนัด และเลือกที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น และคุณมี Connection ที่ดีพอ

ส่วนผู้ที่เป็นนักธุรกิจ การเรียน ป.เอก จะเป็นประโยชน์กับคุณมากอยู่นะ ถ้าคุณอายุยังน้อยอยู่ (ยังไม่สามสิบและจบโทแล้ว) และที่บ้านมีกิจการของตัวเอง ถ้าอยากเรียน ป.เอก ก็ไม่เสียหลาย ผมว่ามีแต่จะได้มากขึ้นนะ

ตัวอย่างบริษัท ปูน ที่เป็นบริษัทใหญ่ มีการบริหารจัดการได้มาตราฐาน คำว่ามาตราฐาน เช่น จ่ายเงินเดือนตรงตามเวลา กำหนดการจ่าย OT ชัดเจน มีที่พัก สวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาลให้ครบ

ปัญหาที่เกิดขึ่นคือ มีวิศวกรลาออกเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ผู้บริหารจึงประชุมกัน และตัดสินใจขึ้นเงินเดือนให้พนักงานทุกคน



มาดูตัวอย่างบริษัทที่บริหารงานไม่ได้มาตราฐาน เพราะเป็นบริษัทขนาดเล็ก ก่อตั้งโดยสถาปนิกสองสามคนหุ้นกัน งานที่พวกเขาเข้าใจและชำนาญคือ งานการออกแบบสิ่งปลูกสร้างต่างๆ แต่งานที่พวกเขาไม่ได้ทำความเข้าใจคือ การบริหารงานทั่วไปแบบมืออาชีพ

ปัญหาของบริษัท คือ ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ในส่วนของประกันสังคมนั้น เป็นเงินของลูกจ้างที่ถูกหักเข้าประกันสังคม บริษัทขนาดใหญ่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ และทำเรื่องเบิกประกันสังคมให้ลูกจ้างด้วย คือ พนักงานจะได้รับค่ารักษาพยาบาลสองทาง

นอกจากนี้ยังจ่าย OT โดยยกไปจ่ายตอนสิ้นปี เป็นต้น ในเรื่องขวัญกำลังใจของพนักงานไม่ดีแน่นอน เพราะต้องทำงานหนักแต่ต้องรอค่าตอบแทนปลายปี รถและคอนโดก็ต้องผ่อน เดือนละประมาณ 15,000 บาท แล้วแบบนี้ แรงจูงใจในการทำงานของพนักงานจะมาจากไหนละครับ

บริษัทนี้ได้รับงานออกแบบอาคารที่มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท (รับค่าจ้างในส่วนงานออกแบบ) คุณว่าเขามีเงินจ่าย OT ได้ทุกเดือนหรือป่าว เป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่เนื่องจากสร้างชื่อเสียงได้เร็ว จึงได้รับงานใหญ่ๆ เหตุที่เขาไม่จ่าย OT อาจเป็นเพราะกังวลเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง หรืออะไรไม่อาจรู้ได้ แต่เป็นการบริหารงานที่ไม่เป็นผลดีต่อบริษัทในระยะยาวเลย เพราะเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วมากในวงการสถาปนิก

ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการที่ไม่ได้มีความรู้ด้านบริหารธุรกิจ ผมคิดว่าคุณควรหาความรู้เพิ่ม อาจจะจากหนังสือ หรือไปเข้าคอร์ส Mini MBA ก็ได้ เพื่อให้เข้าใจหลักการบริหารจัดการ เข้าใจพฤติกรรมของลูกจ้าง หรือคุณอาจจะหาพนักงานที่จบ MBA เข้ามาเพื่อให้จัดการในเรื่องค่าจ้างเงินเดือน และสวัสดิการก็จะเป็นการเริ่มต้นสู่บริษัทที่มีมาตราฐานได้ครับ

ลองดูอีกสักตัวอย่าง บริษัททำโฆษณา มีอาหารกลางวันและเย็นให้พนักงานรับประทานโดยไม่คิดเงิน เพราะเจ้าของมองว่า พนักงานที่เร่งทำงานจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปหาอาหารกิน ถ้าทำ OT ก็ทำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เช่นกัน

หรือ บริษัททำหนังสือ ให้พนักงานถือหุ้นของบริษัทได้ ซึ่ง Microsoft เคยทำมาแล้วตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ปัจจุบันพนักงานตั้งแต่รุ่นบุกเบิกรวยไปตามๆ กันแล้ว จากมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นแบบหลายเท่าตัว


By ODevel


แลกเปลี่ยนความคิดเห็นการเรียน ป.เอก ได้ที่
http://www.prowethai.com/forums/





Def Leppard - Pour Some Sugar On Me