วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

เรียน ป.เอก แล้วจะตกงานหรือป่าว


เรียน ป.เอก แล้วจะตกงานหรือป่าว

เห็นมีคนเสริช คำถามประมาณนี้ จาก Google

โดยมากแล้วผู้ที่เรียน ป.เอก จะเป็นอาชีพสาย ครู อาจารย์ และในระดับมหาวิทยาลัย จะเน้นการรับผู้จบ ป.เอก เป็นหลัก ถ้าไม่มีผู้มาสัมครจึงจะประกาศรับ ป.โท ซึ่งโดยมากก็จะหาไม่ได้ง่ายนัก เพราะในหลายๆ สาขาวิชา ไม่มีผู้จบ ป.เอก มากนัก และมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดก็ยิ่งเป็นไปได้ยากที่จะได้ผู้จบปริญญาเอกเข้ามาสมัคร เพราะอยู่ใน กทม. ได้รายได้มากกว่า

ถ้าคุณเรียน ป.เอก ไปเพื่อต้องการเป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชน ก็บอกได้เลยว่า มีสิทธิ์จะตกงาน เพราะภาคเอกชนไม่จำเป็นต้องจ้าง ป.เอก ในงานระดับประสบการณ์ทั่วไป เขาจะรับ ป.เอก ในตำแหน่งระดับบริหาร และเอกชนจะเน้นประสบการณ์ในการทำงานมากกว่าวุฒิการศึกษา

ภาคธุรกิจที่จะรับ ป.เอก เช่น ในภาคการเงิน ตลาดทุน บริษัทสำนักงานใหญ่ ภาคราชการ ก็ระดับ กระทรวง กรม ต่างๆ เช่น กระทรวงการคลัง ซึ่งโดยมากผู้จบ ป.เอก จะจบจากต่างประเทศ และจบจากมหาลัยมีชื่อ

ถ้าคุณไปเรียน ป.โท จบมาแล้ว ก็ใช่ว่าบริษัทจะปรับวุฒิและเงินเดือนให้คุณทันที แต่คุณจะเป็นตัวเลือกสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง ถ้าไม่ถูกเลือกคุณก็อยู่ในตำแหน่งเดิมต่อไป

สำหรับภาคเอกชน ก็เรียน ป.โท เอาไว้ และเน้นประสบการณ์ในสายงานนั้นให้มาก ไม่ควรเปลี่ยนงานข้ามสายงานถ้าเพิ่งจบใหม่ ควรทำสายงานนั้นสัก 2-3 ปี แล้วค่อยไปลองสายงานอื่น

ถ้าไม่คิดจะเป็นอาจารย์ ก็ไม่จำเป็นต้องเรียน ป.เอก ครับ นอกจากว่าคุณมั่นใจว่า คุณเลือกสาขาวิชาที่คุณถนัด และเลือกที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น และคุณมี Connection ที่ดีพอ

ส่วนผู้ที่เป็นนักธุรกิจ การเรียน ป.เอก จะเป็นประโยชน์กับคุณมากอยู่นะ ถ้าคุณอายุยังน้อยอยู่ (ยังไม่สามสิบและจบโทแล้ว) และที่บ้านมีกิจการของตัวเอง ถ้าอยากเรียน ป.เอก ก็ไม่เสียหลาย ผมว่ามีแต่จะได้มากขึ้นนะ

ตัวอย่างบริษัท ปูน ที่เป็นบริษัทใหญ่ มีการบริหารจัดการได้มาตราฐาน คำว่ามาตราฐาน เช่น จ่ายเงินเดือนตรงตามเวลา กำหนดการจ่าย OT ชัดเจน มีที่พัก สวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาลให้ครบ

ปัญหาที่เกิดขึ่นคือ มีวิศวกรลาออกเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาไม่กี่เดือน ผู้บริหารจึงประชุมกัน และตัดสินใจขึ้นเงินเดือนให้พนักงานทุกคน



มาดูตัวอย่างบริษัทที่บริหารงานไม่ได้มาตราฐาน เพราะเป็นบริษัทขนาดเล็ก ก่อตั้งโดยสถาปนิกสองสามคนหุ้นกัน งานที่พวกเขาเข้าใจและชำนาญคือ งานการออกแบบสิ่งปลูกสร้างต่างๆ แต่งานที่พวกเขาไม่ได้ทำความเข้าใจคือ การบริหารงานทั่วไปแบบมืออาชีพ

ปัญหาของบริษัท คือ ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ในส่วนของประกันสังคมนั้น เป็นเงินของลูกจ้างที่ถูกหักเข้าประกันสังคม บริษัทขนาดใหญ่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ และทำเรื่องเบิกประกันสังคมให้ลูกจ้างด้วย คือ พนักงานจะได้รับค่ารักษาพยาบาลสองทาง

นอกจากนี้ยังจ่าย OT โดยยกไปจ่ายตอนสิ้นปี เป็นต้น ในเรื่องขวัญกำลังใจของพนักงานไม่ดีแน่นอน เพราะต้องทำงานหนักแต่ต้องรอค่าตอบแทนปลายปี รถและคอนโดก็ต้องผ่อน เดือนละประมาณ 15,000 บาท แล้วแบบนี้ แรงจูงใจในการทำงานของพนักงานจะมาจากไหนละครับ

บริษัทนี้ได้รับงานออกแบบอาคารที่มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท (รับค่าจ้างในส่วนงานออกแบบ) คุณว่าเขามีเงินจ่าย OT ได้ทุกเดือนหรือป่าว เป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่เนื่องจากสร้างชื่อเสียงได้เร็ว จึงได้รับงานใหญ่ๆ เหตุที่เขาไม่จ่าย OT อาจเป็นเพราะกังวลเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง หรืออะไรไม่อาจรู้ได้ แต่เป็นการบริหารงานที่ไม่เป็นผลดีต่อบริษัทในระยะยาวเลย เพราะเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วมากในวงการสถาปนิก

ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการที่ไม่ได้มีความรู้ด้านบริหารธุรกิจ ผมคิดว่าคุณควรหาความรู้เพิ่ม อาจจะจากหนังสือ หรือไปเข้าคอร์ส Mini MBA ก็ได้ เพื่อให้เข้าใจหลักการบริหารจัดการ เข้าใจพฤติกรรมของลูกจ้าง หรือคุณอาจจะหาพนักงานที่จบ MBA เข้ามาเพื่อให้จัดการในเรื่องค่าจ้างเงินเดือน และสวัสดิการก็จะเป็นการเริ่มต้นสู่บริษัทที่มีมาตราฐานได้ครับ

ลองดูอีกสักตัวอย่าง บริษัททำโฆษณา มีอาหารกลางวันและเย็นให้พนักงานรับประทานโดยไม่คิดเงิน เพราะเจ้าของมองว่า พนักงานที่เร่งทำงานจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปหาอาหารกิน ถ้าทำ OT ก็ทำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เช่นกัน

หรือ บริษัททำหนังสือ ให้พนักงานถือหุ้นของบริษัทได้ ซึ่ง Microsoft เคยทำมาแล้วตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ปัจจุบันพนักงานตั้งแต่รุ่นบุกเบิกรวยไปตามๆ กันแล้ว จากมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นแบบหลายเท่าตัว


By ODevel


แลกเปลี่ยนความคิดเห็นการเรียน ป.เอก ได้ที่
http://www.prowethai.com/forums/





Def Leppard - Pour Some Sugar On Me


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น