วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ธุรกิจทำเงิน




Model ธุรกิจทำเงิน


คงมีหลายคนที่อยากจะมีธุรกิจของตัวเอง แน่นนอนมันไม่ง่ายเลยสำหรับคนที่เคยเป็นพนังงานประจำและอยากออกมาทำกิจการของตัวเอง การจะเริ่มทำไม่ยากเท่าไหร่แต่ทำแล้วจะรอดเป็นเรื่องยากมาก การซื้อแฟรนไชส์ธุรกิจจึงน่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ที่จะแชร์และเล่าให้ฟังนี้ไม่ได้เป็นการซื้อแฟรนไชส์

ร้านก๋วยเตี๋ยว

ข้อดีข้อแรกของร้านก๋วยเตี๋ยว คือ ทำง่าย เร็ว เมนูไม่มากรายการ จึงใช้แรงงานน้อย ถ้าเป็นอาหารตามสั่งทำได้ช้ากว่าแต่ราคาขายต่อหน่วยได้รับเท่ากัน ปริมาณการขายต่อวันก็จะทำได้น้อยกว่าด้วย และลูกค้าจะเลือกทานก๋วยเตี๋ยวเพราะสะดวกรวดเร็วกว่า สะดวกทั้งคนขายและคนกิน

สูตรอาหาร เราใช้วิธีขอซื้อขาดจากเจ้าของแทนแบบแฟรนไชส์เพราะไม่ต้องมีรายจ่ายผูกมัดในระยะยาว หรือไปหาที่เรียนทำอาหารไปเลย ถ้าไม่ได้ก็ซื้อแฟรนไชส์แล้วเรียนรู้สูตร จากนั้นยกเลิกในอนาคตเพื่อทำเอง

ทำเล เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะแม้จะได้แฟรนไชส์มาก็ขาดทุนได้เพราะเลือกทำเลไม่ดี ทำเลควรอยู่บนถนนเส้นหลัก ไม่ควรอยู่ในซอยนอกจากว่าจะเป็นโซนค้าขาย เช่น รอบๆ มหา’ลัย

ทำเลที่คนอาจจะไม่ค่อยได้สนใจคือ ข้างทางบนถนนระหว่างจังหวัด เช่น มิตรภาพ ควรเลือกที่เป็น ขาออก จากตัวจังหวัด เพราะคนเดินทางจะแวะจอดกินอาหารเพื่อเดินทางต่อ เราจะมองว่ามันไม่น่าจะมีคนแวะกินมากนัก ขอบอกว่าสามารถขายได้ 200 ชามต่อวัน และจะคืนทุนได้ในเวลา 1-1.5 ปี เลยที่เดียว




ค่าเช่า ถ้าเป็นเขตที่ออกมาจากเมืองแล้วข้างทางจะเป็นที่ว่างเปล่า เราต้องสร้างร้านเองซึ่งจะเป็นความเสี่ยงในทำเลแบบนี้ ควรตั้งงบประมาณที่ สองแสนบาท แต่สร้างจริงอาจจะมากกว่านี้ ค่าเช่า ที่ดินแบบนี้จะไม่แพงประมาณ 2,500-3,000 บาทต่อเดือน เป็นจุดสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง การมีค่าเช่าที่ต่ำ ต้นทุนในการบริหารก็จะต่ำไปด้วย และจะทำให้ธุรกิจมีกำไรได้

พนักงาน จะใช้ 4 คนๆ ละ 300 บาทต่อวัน ก็เป็น 1,200 บาท ต้องขายได้มากกว่า 30 ชามต่อวัน ที่ชามละ 40บาท จึงจะมีกำไร ถ้ามีน้ำชา กาแฟ อาจจะต้องมีคนที่ 5

ต้นทุนต่อเดือน ค่าเช่า 2,500 ค่าแรง 4คน 36,000 วัตถุดิบ 45,000 (1,500 บาทต่อวัน) อื่นๆ 6,000  รวมค่าใช้จ่ายต่อเดือน 89,500 บาท ต้องขายได้ 74 ชามต่อวัน จึงจะคุ้มทุน

ร้านก๋วยเตี๋ยวปกติ เราก็ควรลงมือทำเองจะลดค่าแรงลงไปได้หนึ่งคน 9,000 บาทต่อเดือน การเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวจึงต้องขายให้ได้วันละ 100 ชาม รายได้เป็น 120,000 บาทต่อเดือน จะได้กำไรวันละ 1,040 บาท เป็นกำไร 30,500 บาทต่อเดือน จึงจะมีกำไรและทำธุรกิจอยู่ได้ ตัวเลขนี้ยังไม่รวมกำไรจาก น้ำอัดลม ชา กาแฟ ขนม ของฝากต่างๆ ที่เราขายด้วย

Model: ทำเลขอบนอกเมือง ถนนระหว่างจังหวัด ลูกค้าเป็นคนเดินทาง อาหารทำได้เร็ว ต้นทุนต่อเดือนต่ำ





ร้านกาแฟ

ไม่ควรซื้อแฟรนไชส์อย่างยิ่งเลย นอกจากจะขายแบบ ชาพะยอม บอกได้เลยว่าร้านกาแฟยากที่จะทำกำไร ขายกาแฟสดแก้วละ 50 บาท 30 แก้ว จะได้ 1,500 บาทต่อวัน ต่อเดือนเป็น 45,000บาท อาจจะมี ขนม อาหารด้วย ให้ขายได้อีก 36,000 บาทต่อเดือน รวมรายได้ 81,000 บาทต่อดือน

ถ้าเราทำเอง พนักงานอีก 2 คน 18,000 ต่อเดือน ค่าแอร์ 20,000 อื่นๆ 30,000 ค่าเช่าร้าน 30,000  รวม 98,000 บาท

ลองคำนวณดูเองนะครับ อันนี้แค่ประมาณการ จะขาดทุน ถ้าขายกาแฟได้ 30 แก้ว ขนมละอาหารอีก 20 จาน ต่อวัน ระยะเวลาคืนทุนขึ้นอยู่กับว่า ตกแต่งร้าน ซื้ออุปกรณ์ ไปเท่าไหร่ อาจประมาณ 3-5 แสนบาท

ร้านกาแฟมีเปิดเยอะมาก คุณจะสู้เขาได้หรือป่าว ร้านกาแฟที่ใช้อาคารของตัวเองที่อยู่ในซอย ก็มีที่ลูกค้าไปที่ร้านเพราะทำดีจริงๆ จะช่วยลดเรื่องค่าเช่าลงไปได้

มือใหม่แนะนำ ชาพะยอม เพื่อลองเรียนรู้ธุรกิจดูก่อน

ร้านก๋วยเตี๋ยว อาจจะดูไม่เท่เท่าร้านกาแฟ แต่มีโอกาสขาดทุนน้อยกว่า

Model: ทำเลบนถนนหลัก หรือในตลาดสมัยใหม่ ต้องควบคุมต้นทุนที่สูงได้ กาแฟ ขนม ต้องอร่อย หน้าตาสวย ร้านตกแต่งดีมีสไตล์ (จึงไม่ง่ายที่จะทำได้)

Mix Model: เอาร้านก๋วยเตี๋ยว กับร้านกาแฟ มารวมกัน คือ ร้านกาแฟมีการตกแต่งนิดหน่อย ขายกาแฟสดด้วย มีขนมเล็กน้อย ไม่ต้องมีแอร์ ใช้วิวทุ่งนาธรรมชาติ ขายกาแฟสดแก้วละ 40 บาท






Pub & Restaurant

ร้านในตัวอย่างนี้ เป็นร้านเหล้า ที่มี Hostel 7 ห้อง และขายกาแฟด้วย เป็น Mix Model เหมือนกัน อ่านต่อในลิงค์







Hostel

รวม Boutique Hotel ด้วย คือ เป็นโรงแรมห้องพักขนาดเล็ก จะบริหารจัดการได้ง่าย ควรใช้บ้านหรืออาคารของเราเอง เพราะรายได้ของห้องพักจะไม่แน่นอน ควรใช้บริการ agoda เพื่อให้ลูกค้าหาโรงแรมของเราเจอ เป็นช่องที่การทำการตลาดที่ดีมาก จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 17-20% จากราคาห้องพักให้อโกดา เราเลือกได้ว่าจะให้ผ่านอโกดากี่ห้องจากห้องที่มีทั้งหมด

Hostel จะมีห้องรวม มีเตียงแบบสองชั้นเพื่อคนพักได้จำนวนมาก มีให้บริการมากและนิยมในกรุงเทพ เขาเอาบ้าน อาคารเก่า มาตกแต่งใหม่เป็นห้องพัก เป็นรูปแบบที่นำมาจากต่างประเทศที่ให้บริการกลุ่มนักศึกษาที่จะพักรวมกันหลายคนเพื่อประหยัดค่าที่พัก

Hostel ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่สันทนาการ เช่น ที่อ่านหนังสือ บริการอินเติร์เน็ต มีห้องครัวกลาง โต๊ะปิงปอง

ห้องพักรวม คิดเป็นรายหัว อาจจะคิดหัวละ 300 บาท มีอาหารเช้าแบบง่ายๆ ขนม กาแฟ ข้าวต้ม แล้วแต่การจัดการต้นทุน ถ้าเป็นลูกกค้าคนไทยจะเหมาะกับ นักเรียน นีกศึกษา ที่มาสอบ มาติว จากต่างจังหวัด

ทำเลที่ตั้งควรอยู่ไม่ห่างจากถนนใหญ่มากนัก (Subprime) อยู่ในย่านชุมชน ถ้าอยู่บนถนนใหญ่ (Prime) ได้ก็จะดีมาก เพราะผู้ที่มาพักจะใช้การเดินทางด้วยรถเมล์หรือจะเดินเท้าไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เขาสนใจไม่ว่าจะเป็นตลาด ห้างฯ วัด ฯลฯ





ส่วน Boutique Hotel จะต่างจาก Hostel จะมีการตกแต่งห้องพักให้มีเอกลักษณ์ ห้องพักจะตั้งราคาสูงกว่า Hostel อาจจะตั้งในช่วง 600-1,000 บาท ขึ้นอยู่กับรูปแบบและการออกแบบ

สมมุติ ถ้ามีคนพัก 20 ห้องต่อเดือน จะมีรายได้ 12,000 บาท จากการนำบ้านหรืออาคารที่เราไม่ได้ใช้มาทำเป็นรายวัน อาจจะดีกว่าการเช่ารายเดือนที่บ้านจะไม่พังเร็วกว่า จะได้รายได้มากกว่านี้ถเมีการออกแบบที่ดีและใช้การตลาดทางอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะ agoda facebook ฯลฯ โฆษณาทาง facebook เริ่มต้นที่หลักร้อยและให้ได้ผลดีพอสมควร ส่วน agoda จำเป็นมากที่เดียวสำหรับ โรงแรมและห้องพัก

ทำเลจะเป็น Subprime ได้เช่นกัน โรงแรมบางแห่งอยู่ลึกมากก็มีแต่รอบ ๆ บริเวณนั้นมีเรื่องราวน่าสนใจหรือมีการออกแบบได้ดีจริงๆ

จากรายได้ที่ไม่แน่นอนของห้องพักจึงควรใช้บ้านหรือตึกที่เป็นของเราเอง เพื่อลดต้นทุนเรื่องค่าเช่า ส่วนต้นทุนในการบริหารจัดการจะไม่มาก เราสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง หรือจ้างแม่บ้านเป็นรายครั้ง รายห้อง ไม่ต้องจ้างเขาเป็นรายเดือน





ตัวอย่าง โรงแรม B2 เขาจะเลือกทำเล Subprime เพื่อได้ที่ดินที่ราคาไม่แพงมากนัก ราคาห้องพักไม่แพง 550-700 บาท เพื่อให้ได้ลูกค้ากลุ่มใหญ่อย่าง เซลล์แมน คนเดินทางทำธุรกิจ ที่ต้องการการบริการแบบโรงแรมใหญ่ เช่น อาหารเช้า บริการทำความสะอาดห้อง การซักรีด พื้นที่ในการนัดหมายคุยงานต่างๆ

Model: ทำเลในเขตชุมชน ใช้อาคารของตัวเอง ต้นทุนบริหารต่ำ เน้นการออกแบบ เน้นงานบริการ


ลองคิด วางแผน ดูก่อนได้
ไม่นับหนึ่ง สอง สาม ไม่มา


By ODevel










**ภาพจาก Google






รับออกแบบ และ ก่อสร้าง









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น